3 พฤติกรรมเสี่ยงขาดวิตามินดีไม่รู้ตัว! 

528 จำนวนผู้เข้าชม  | 

3 พฤติกรรมเสี่ยงขาดวิตามินดีไม่รู้ตัว! 

 

  รู้หรือใหม่!?

จากผลการสำรวจพบว่า คนไทยกว่า 80% ขาดวิตามินดีโดยที่ไม่รู้ตัว  และผู้ปวยมะเร็งกว่า 90% มักขาดวิตามินดี! หรือมีวิตามินดีในเลือดในระดับที่ค่อนข้างตํ่า ในเมื่อประเทศไทยเราเป็นเมืองร้อน ที่มีแสงแดดจากดวงอาทิตย์ส่องขนาดนี้ ทำไมคนไทยส่วนมากถึงยังขาดวิตามินดีกันอยู่ล่ะ?  เป็นคุณหรือไม่? ที่อาจกำลังขาดวิตามินดี มาเช็คลิสต์ 3 พฤติกรรมเสี่ยง! กันค่ะ 

 

  3 พฤติกรรมเสี่ยงขาดวิตามินดีไม่รู้ตัว! 

โดยธรรมชาติ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตสามารถได้รับวิตามินดีตามธรรมชาติได้จากแสงแดด และจากอาหารบางชนิด แต่ถ้าคุณมีพฤติเหล่านี้อยู่เป็นประจำ คุณอาจกำลังมีความเสี่ยงที่จะขาดวิตามินดีอยู่โดยไม่รู้ตัว!

  1. ทาครีมกันแดดเป็นประจำ หรือกางร่มเมื่อต้องออกแดด หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดเสมอ

  2. ไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตกลางแจ้งในเวลากลางวัน ทำงานอยู่ในตึก, ออฟฟิศ, ห้องแอร์, เดินทางด้วยรถติดที่ฟิล์มสีเข้มๆ กว่าจะเลิกงานก็เย็น ไม่ถูกแสงแดด
  3. ใส่เสื้อแขนยาว แต่งกายปกปิดผิวหนัง กลัวการโดนแสงแดด

 

จากเช็คลิสต์ 3 พฤติกรรมเสี่ยงข้างต้นแล้ว ก็เข้าใจได้เลยว่า...ก็ด้วยเหตุผลที่เมืองไทยเป็นเมืองร้อนนี่แหล่ะ พวกเราจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหนีความร้อน และแสงแดดจากดวงอาทิตย์กันทุกวิถีทาง เลยอาจกลายเป็นว่าในวันวันหนึ่ง บางคนแทบอาจจะไม่โดนแสงแดดกันเลย! นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมคนไทยส่วนมากจึงยังขาดวิตามินดี! 

 


  ถ้าขาดวิตามินดีนานๆ จะเกิดอะไรขึ้น?

เสี่ยงระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง และอาจนำมาซึ่งโรคต่างๆ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscle weakness), โรคที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร (Inflammatory Bowel Disease – IBD), เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, หลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคกระดูกพรุนและกระดูกหักง่าย ไม่แข็งเเรง เพราะ วิตามินดี มีหน้าที่ช่วยในการดูดซึมของแคลเซียมและฟอสฟอรัส ถึงแม้เราจะเสริมแคลเซียมกันมากแค่ไหน แต่ถ้ายังขาดวิตามินดี แคลเสริมเสริมที่เราทานกันเข้าไป ก็ยังดูดซึมไปใช้ได้ไม่ดีเท่าที่ควรอยู่ดี

 

 

  10 ประโยชน์จากวิตามินดี

  1. ปัจจุบันมีงานวิจัยมากมายที่สนับสนุน ให้มีการใช้วิตามินดีเสริมเพื่อช่วยต้านโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งเต้านม, และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยวิตามินดีจะทำงานร่วมกันกับเซลล์เม็ดเลือดขาว (T-Cell) 


  2. วิตามินดีมีส่วนจำเป็นต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ปกติ 

  3. มีส่วนช่วยลดและต้านการอักเสบของเซลล์

  4. มีส่วนช่วยเพิ่มศักยภาพในการนำออกซิเจนจากเลือดส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย

  5. มีส่วนช่วยในการแบ่งเซลล์ (Cell Proliferation) และการพัฒนาเซลล์เพื่อไปทำหน้าที่ซ่อมแซมส่วนสึกหรอต่างๆในร่างกาย 

  6. มีส่วนช่วยให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน (Serotonin) ได้มากขึ้น จึงอาจช่วยลดความเครียด และภาวะซึมเศร้าได้

  7. วิตามินดีมีส่วนจําเป็นในการทําให้กระดูกและฟันให้แข็งแรง และมีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสได้ดีเพื่อนําไปสร้างกระดูก

  8. มีส่วนช่วยในการทำงานของหัวใจ, หลอดเลือด และสุขภาพโดยรวมให้เป็นไปตามปกติ

  9. วิตามินดียังมีผลต่อประสิทธิภาพการออกกำลังกายและการเล่นกีฬา โดยเฉพาะการเล่นกีฬาที่มีความหนักและต่อเนื่องเป็นเวลานาน ที่เรียกว่า Endurance Sport เช่น การวิ่งระยะไกล, การปั่นจักรยาน, ไตรกีฬา 

  10. ลดอาการเมื่อยล้าและอักเสบของกล้ามเนื้อเพิ่มความแข็งแรง และทนทานของกล้ามเนื้อ 

 


  วิตามินดีจากแหล่งที่ดีทีสุด

  คือการรับจากแสงแแดด วันละ 10-20 นาที (ช่วงเวลา 11.00 - 13.00 น.) แต่ถ้าทําไม่ได้ เราก็สามารถทานเสริมในรูปของวิตามิน D3 ซึ่งเป็นฟอร์มที่ดีที่สุดของวิตามินดี เพราะดูดซึมได้ง่าย ไว และมีประสิทธิภาพดีที่สุด และปริมาณที่แนะนำต่อวัน คือ 3,000 - 5,000 units/วัน 

  หลังทานต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน แนะนำให้ตรวจหาค่าวิตามินดีในเลือด หากค่าวิตามินดีอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแล้ว สามารถลดหรือหยุดทานได้ตามความเหมาะสม ตามคำแนะนำของแพทย์หรือโค้ชสุขภาพของคุณค่ะ

 

 คนทั่วไปควรรักษาระดับวิตามินดีในร่างกาย อย่างน้อยควรอยู่ที่ 40-60 ng/ml (nanograms/milliliter)

 แต่ถ้าคุณอยู่ในช่วงบำบัดมะเร็ง หรือคนทั่วไปที่อยากจะให้สุขภาพแข็งแรงมากๆ ระดับวิตามินดีควรอยู่ที่ระดับ 75-90 ng/ml (nanograms/milliliter)

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้