ยังทำไม่ได้ค่ะ ควรรอให้แผลแห้งสนิทก่อนแล้วค่อยทำ
ยังทำแบบใช้กาแฟไม่ได้ค่ะ ควรรอหลังจาก หยุดทำคีโมหรือ หยุดกินยามุ่งเป้าไปแล้ว 2 สัปดาห์ - 1 เดือน
*และควรเข้ามาเรียนในคอร์สออนไลน์ก่อนนะคะ คุณจะได้เรียนรู้และเข้าใจการทำดีทอกซ์ที่ถูกต้อง และวิตามินที่ต้องใช้ร่วมกับการดีทอกซ์ และการรับมือ จัดการกับอาการถอนพิษต่างๆค่ะ
ใช้สมุนไพร LIVER DETOX, ทำดีท็อกซ์แบบซีฟรัช (C-Flush), วีทกราส (Wheat Grass) และอีกหลายๆวิธี ซึ่งสามารถดูได้จากในบทเรียนเรื่องการทำดีท็อกซ์ค่ะ
สนใจเข้าคอร์สเรียนสามารถติดต่อได้ที่ LINE @coachnatalie ค่ะ
ทำได้ค่ะ
ได้ค่ะ
คนเป็นมะเร็งส่วนใหญ่มักมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก การทำดีท็อกซ์กาแฟแตกต่างจากการถ่ายปกติตรงที่ว่า การทำดีท็อกซ์ เมื่อเราใส่กาแฟเข้าไปในท้องกาแฟจะมีสารPalmitic Acid ที่ไปช่วยดึงสารพิษออกจากตับ และช่วยกระตุ้นตับในการสร้างกลูต้าไธโอน (เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ) เพื่อการดีท็อกซ์ล้างสารพิษออก
ในขณะที่การถ่ายอุจจาระตามปกติ ร่างกายจะไม่สามารถขับสารพิษเก่าตกค้าง รวมทั้งพยาธิและปรสิต ที่ทำให้เราป่วยออกมาได้ไวและมากเท่ากับการทำดีท็อกซ์กาแฟค่ะ
ขึ้นอยู่ที่ปริมาณที่ใช้และความถี่ของแต่ละคนในการทำด้วยค่ะ บางคนใช้สูตร 3 ใช้แค่ 2 ช้อน ก็ใช้ได้ประมาณ 2-3 เดือน แต่ทั่วไปใช้ทีละ 3 ช้อน ก็น่าจะหมดไวกว่านั้นค่ะ ประมาณ 1-2 เดือนก็หมดค่ะ หรือบางคนทำบ่อย ถี่ เดือนนึงก็หมดค่ะ
อย่างแรกเลยควรจะปล่อยให้ดินเคลละลายในน้ำสักพักหนึ่งก่อนนะคะ เพื่อให้สารประกอบในดินเคลพองตัว ซึ่งสารประกอบเหล่านี้จะไม่ละลายในร่างกายแต่จะถูกกำจัดด้วยระบบขับถ่ายของเรา เช่นเดียวกันกับการที่เรากินพืชผักที่มีไฟเบอร์ซึ่งก็ไม่สามารถย่อยได้ด้วยร่างกายของเราเช่นกันแต่จะถูกกำจัดออกทางอุจจาระ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับการให้ทำให้เราเป็นโรคนิ่วได้
เมไทโอนีนเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นในมนุษย์ เมไทโอนีนเป็นสารตั้งต้นของกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็นอื่นๆ เช่น ซิสเทอีนและทอรีน สารประกอบอเนกประสงค์ เช่น SAM-e และกลูตาไธโอนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ เมไทโอนีนจึงมีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญและจำเป็นต่อสุขภาพ
Dr.Russell Blaylock ได้เขียนตำราการบำบัดมะเร็ง และกล่าวไว้ว่า เมไทโอนีนเป็นกรดอะมิโนที่ช่วยในการสร้าง DNA จากงานวิจัยหลายฉบับบอกไว้ว่าการขาดกรดอมิโนเหล่านี้เป็นระยะเวลานานๆทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง แต่ Dr.Russell Blaylock สรุปไว้ว่าถ้าเราทานอาหารที่มีสารเมไทโอนีนมากเกินไป ก็จะกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งโตเร็วขึ้นได้ในกรณีของคนที่เป็นมะเร็งแล้ว
เพราะฉะนั้นเมไทโอนีนเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นแต่มีมากไปก็ไม่ดี เราจึงควรทานในปริมาณที่พอเหมาะ เมไทโอนีนมีมากในนมและไข่ ซึ่งโค้ชก็แนะนำให้งดอาหารเหล่านี้อยู่แล้ว
ลูซีน (leucine) เป็นกรดอะมิโนสายโซ่กิ่งจำเป็น (BCAA) ที่สำคัญต่อการสังเคราะห์โปรตีนและการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ ถ้าร่างกายขาดสารตัวนี้ กล้ามเนื้อจะไม่มีแรง
ลูซีน มีมากในปลาแซมมอล ไข่ และเนื้อวัว ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ป่วยมะเร็ง แต่ควนทานลูซีนจากพืชทดแทน เช่น ข้าวกล้อง ถั่วลันเตา (มีมากกว่าไข่เสียอีก) ถั่วแอลมอลด์ ถั่วบราซิล
หลายคนที่กังวลในการทานอาหารเสริมกรดอะมิโนที่จำหน่ายที่ช้อปของโค้ชนาตาลี ปริมาณของกรดอะมิโนเหล่านี้มีไม่มากเกิดขนาด และเป็นกรดอะมิโนที่สกัดมาจากพืชผัก (Vegetarian Essential Amino Acids) จึงไม่เหมือนเมไทโอนีนในนมและไข่
คุณอาจจะได้ยินมาว่า “คนเป็นมะเร็งไม่ควรทานน้ำตาล” จริงอยู่ที่ว่าน้ำตาลทำให้เซลล์อักเสบและเร่งให้มะเร็งโตเร็วขึ้น แต่นั่นคือน้ำตาลในรูปแบบอุตสาหกรรมที่เราควรหลีกเลี่ยง หรือน้ำตาลเทียม และผลไม้รสหวานจัด
แต่คนไข้มะเร็งหลายๆคนที่นอนติดเตียงแล้วทานโปรตีน Shaklee แล้วฟื้นขึ้นมาได้ เริ่มมีแรง มีหลายเคสค่ะ
น้ำตาล 5g. ถือว่าน้อยมาก และบริษัท Shaklee ใส่น้ำตาล Cane sugar (ต้นอ้อย) เพื่อให้ผู้บริโภคทานได้ง่ายขึ้นและอร่อย
อีกอย่าง ร่างกายขาด (Glucose) ไม่ได้ค่ะ จะทำให้เราไม่มีแรง ร่างกายของเราต้องการกลูโคส ซึ่งเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งทำงานร่วมกันกับออกซิเจนในการผลิตพลังงาน (ATP) ถ้าร่างกายเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำประมาณ 15 นาที จะเกิดการตายของเส้นประสาทในสมองเกิดขึ้น ถ้ามีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำซ้ำๆ ทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจรักษาให้หายได้ ทำให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญาที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับโครงสร้างสมองต่างๆ ส่วนที่ไวต่อความเสียหายมากที่สุดคือเยื่อหุ้มสมอง ฮิบโปแคมปัส (Hippocampus) และ Striatum
“สมองต้องการน้ำตาลเป็นเชื้อเพลิงหลัก” Vera Novak, MD, PhD, รองศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ของ HMS ที่ Beth Israel Deaconess Medical Center กล่าว “สมองมันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีน้ำตาล” แม้ว่าสมองต้องการกลูโคส แต่แหล่งพลังงานที่มากเกินไปก็อาจเป็นผลเสียได้
(ที่มา: https://www.intechopen.com/chapters/81593)
เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ควรทานน้ำตาลมากเกินไป แต่ร่างกายก็ขาดน้ำตาลไม่ได้เช่นกัน เราจึงเลือกแหล่งที่มาของน้ำตาลที่มีคุณภาพเช่น ผลไม้รสหวานน้อยจะดีที่สุด
American Heart Association กำหนดปริมาณน้ำตาลไว้
ผู้ชายควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 9 ช้อนชา (36 กรัมหรือ 150 แคลอรี่) ต่อวัน
สำหรับผู้หญิงไม่เกิน 6 ช้อนชา (25 กรัมหรือ 100 แคลอรี่) ต่อวัน
แบบผง: จะบริสุทธิ์กว่า ถ้าคุณเซนซิทีฟต่อการใช้วิตามินซี เช่น ทานวิตามินซีแล้วปวดท้อง แนะนำให้ทานแบบผงค่ะ และแบบผงใช้สำหรับการทำดีท็อกซ์แบบ C-Flush ค่ะ
แบบเม็ด: สะดวก ทานง่ายกว่าผง และของเราเป็นแบบ Liposomal ดูดซึมได้ดีค่ะ
L-Lysine, และการทำโอโซนก็ช่วยได้ค่ะ
Coq10, วิตามินบีรวม, L-lysine, STAMETS 7, Liver DTX ค่ะ
เควอซิติน, วิตามินซี, เบต้ากลูแคนค่ะ
รับคีโมอยู่ดูคลิปนี้ค่ะ https://www.facebook.com/StopCancerWithNatalie/videos/313043380346520/
CoQ10, วิตามินบี12, แมกนีเซียม ค่ะ
เบต้ากลูแคน, Astragalus (อึ่งคี้)
วิตามินอาหารเสริมทุกตัวในช็อป ปลอดภัยและมีคุณภาพ สามารถทานได้ทั้งคนเป็นมะเร็งและคนไม่เป็นมะเร็งค่ะ
โค้ชนาตาลีเป็นโค้ชสุขภาพทางเลือก โค้ชไม่สามารถแนะนำยาหรือจ่ายยาได้ค่ะ มีแต่การใช้อาหาร, วิตามิน และสมุนไพรในการบำบัดเท่านั้นค่ะ
วิตามินบี12, วิตามินบีรวม, สไปรูลิน่า-คลอเรลล่า, อัลฟัลฟ่า, Astragalus และทานผักใบเขียวให้มากขึ้น
ดินเคลย์, คลอเรลล่า-สไปรูลิน่า
ทานได้ และควรทารค่ะ
เพื่อเป็นการเตรียมและป้องกันไม่ให้ร่างกายทรุดมาก
ทานได้ค่ะ ไม่ได้มีผลอะไร
A:
บางตัวสามารถทานต่อเนื่องได้อย่างปลอดภัยค่ะ
แต่บางตัวควรพัก 1 เดือน หลังทาน 3 เดือน
แนะนำให้อ่านวิธีใช้ให้ถี่ถ้วนก่อนการทาน หรือปรึกษาโค้ชค่ะ
ทานได้ทุกวันอย่างปลอดภัยค่ะ
แต่ควรดื่มน้ำผักสกัดเย็นเป็นหลักค่ะ
ทาน 6 เดือน แล้วสังเกตร่างกายค่ะ ว่าดีขึ้นมั้ย ถ้าได้ผลดีให้ทานต่อ ถ้าไม่ดีขึ้นให้หยุดทานค่ะ
เริ่มต้นที่ 10 มก. สังเกตอาการของคุณว่ามีอาการอย่างไรบ้าง และค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละ 10 มก. ได้สูงสุดถึง 60 มก.
ควรทานก่อนนอน 30 นาที - 1 ชั่วโมง
หลังทานควรงดใช้อุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด ปิดไฟและทำห้องให้มืดสนิท เพราะ ระดับเมลาโทนิน อาจลดลงได้ เมื่อมีแสงสว่าง ทำให้การนอนหลับไม่ได้คุณภาพเท่าที่ควร
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนนะคะ เมลาโทนิน เป็นฮอร์โมนนอนหลับ ไม่ใช่ 'ยานอนหลับ' ซึ่งต่างกันค่ะ
ปัจจัยที่ทำให้กินเมลาโทนินแล้วไม่ได้ผลมีดังนี้ค่ะ
- มีความเครียดและกังวลอยู่แล้วก่อนนอน แนะนำให้ฝึกสมาธิและปล่อยวางค่ะ
- ไม่ปิดไฟ ใช้แสงสว่าง, เล่นมือถือ, ใช้อุปกรณ์สื่อสารและอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ต่างๆ เพราะ แสงมีความสัมพันธ์กับระดับของเมลาโทนินในร่างกายค่ะ แสงสว่างมีผลทำให้ระดับเมลาโทนินลดลง เหมือนกับปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ เราจะตื่นเมื่อแสงอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า และเวลากลางคืน เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ฮอร์โมนเมลาโทนินในร่างกายจะเริ่มหลั่งทำให้เราเริ่มง่วงในเวลากลางคืนค่ะ
- อายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินได้ลดลง ทำให้หลับยากขึ้น จึงอาจต้องมีการเสริมเมลาโทนินเพิ่ม
ควรเริ่มต้นที่ 10 มก. สังเกตอาการของคุณว่ามีอาการอย่างไรบ้าง และค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละ 10 มก. ได้สูงสุดถึง 60 มก. หรือตามคำแนะนำของแพทย์ หรือโค้ชสุขภาพของคุณค่ะ
- ควรทานก่อนนอน 30 นาที - 1 ชั่วโมง
- หลังทานควรงดใช้อุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด ปิดไฟและทำห้องให้มืดสนิท เพราะ ระดับเมลาโทนิน อาจลดลงได้ เมื่อมีแสงสว่าง ทำให้การนอนหลับไม่ได้คุณภาพเท่าที่ควร